[Fic ดิโอเมน] แด่บุคคลผู้จากไป - [Fic ดิโอเมน] แด่บุคคลผู้จากไป นิยาย [Fic ดิโอเมน] แด่บุคคลผู้จากไป : Dek-D.com - Writer

    [Fic ดิโอเมน] แด่บุคคลผู้จากไป

    อิอิ ชื่อก็บอกแล้วว่า แด่บุคคลทผู้จากไป ถ้าถามว่าใครตายก็ เจมิไน เทพบุตรสุดหล่อของเรานี่เอง(จะโดนแฟนคลับเจมี่ฆ่ามะเนี่ยเราT-T)+ประกาศเจ้าค่า

    ผู้เข้าชมรวม

    2,447

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    2.44K

    ความคิดเห็น


    64

    คนติดตาม


    10
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  4 ก.ย. 50 / 19:31 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    อะแฮ่มๆ ลืมบอกไป
    สำหรับผู้รอฟิคดิโอเมนอีกเรื่องของข้าเจ้า
    (สาเหตุที่ทำให้เจมี่ตาย)
    อีกไม่นานเกินรอเจ้าค่ะ

    ขอพื้นที่โฆษณานิด เรื่องใหม่ของข้าพเจ้าเองจ้า
    ว่างก็แวะไปอ่านกันหน่อยนะ

    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


      ฟิคนี้แต่งสนองความต้องการคนแต่งโดนเฉพาะ
       ถ้าไม่ดี หรือ ไม่ถูกใจใครก็ขอโทษด้วยค่ะ
      BlueSapphire

         [Ficดิโอเมน]แด่บุคคลผู้จากไป

                      เสียงของบาทหลวงซึ่งกำลังประกอบพิธีไม่ได้เข้าหูเธอแม้แต่น้อยดวงตาสีน้ำตาลคู่โตที่มักมีแต่รอยยิ้ม ไม่ได้มีคราบน้ำตาแบบคนอื่นไม่มีแม้กระทั่งหยดเดียว แววตาของเธอเลื่อนลอยจนหน้ากลัวเธอทอดสายตามองไปยังโลงศพสีขาวอย่างว่างเปล่า เหมือนไร้ความรู้สึกเวลาที่ผ่านไปเพียงแค่ชั่วครู่กลับเนิ่นนานราวกับกาลปาวสานเธอไม่รับรู้อะไรเลยตั้งแต่เห็น และได้ ประโยคนั้น...เจมิไน...เจมิไน..ตายแล้ว

                      "อ...เอล...เอลไลย่า"เสียงตะโกนค่อยๆแทรกเข้ามายังโสตประสาทช้าๆเธอสะดุ้งน้อยๆ ก่อนหันกับมาหาคนเรียกอย่างงงๆ

                      "หืมมีอะไรหรือเปล่า นาธาน"เอลไลย่าถามขึ้น

                      "เป็นไรหรือเปล่าเอลไลย่า พิธีจบไปนานแล้วนะ"นาธานพูดเบาๆสายตาทอดมองมาอย่างเป็นห่วง

                      "นั่นสิจ๊ะเอลไลย่านาธานตะโกนเรียกตั้งนานแล้ว แต่เธอไปรู้ตัวซักที ไหวไหมจ๊ะ"เมอลินด้าว่าด้วยเสียงอ่อนโยน

                      ยิ้มเป็นคำตอบที่ทั้งสองได้รับยิ้มเศร้าๆที่ดูก็รู้ว่าฝืนเต็มทน ดวงหน้าซีดเซียวเหมือนคนไม่สบายจนน่ากลัวกลัวว่าคนตรงหน้าจะเป็นอะไรไปอีกคน

                      "ไปพักเหอะเอลไลย่า พิธีจบแล้วด้วยไปเหอะ"นาธานว่า

                      "อือ"ขาดคำเด็กสาวก็ทรุดหวบลงไปกับพื้นอ้อมแขนของใครบางคนรับเธอไว้ได้ทันท่วงที สติเธอเลือนลางจนไม่อาจรับรู้ไม่อาจเห็นหน้าของเจ้าของอ้อมแขนแสนอบอุ่นนี้อ้อมแขนที่เหมือนกับเขาคนนั้น

                      "อื..อืม"เธอครางเบาๆดวงตาสีน้ำตาลลืมขึ้นช้า เพดานสีขาวคือสิ่งแรกที่ปรากฏให้เห็นแขนสองข้างพยายามพยุงตัวเองให้กลับขึ้นมานั่งอย่างยากเย็น เมื่อเห็นสภาพห้องเธอถึงนึกได้ว่า เธอกลับมาอยู่ในห้องนอนของเธอในบ้านของตระกูลแอชเชอร์อีกครั้ง

                      ..ใครนะ คนที่อุ้มเรามาเมื่อกี้อบอุ่นเหลือเกิน เหมือน..เหมือนกับเจมิไน...

                     แอดดดเสียงเปิดประตูดังขึ้นอย่างแผ่วเบาเหมือนกลัวจะรบกวนเจ้าของห้องหากแต่ก็ยังเรียกให้เด็กสาวผู้ตกอยู่ในภวังค์หันกลับไปมองได้...จินไน...พี่ชายของคนที่เธอรัก

                      "อ้าว...เอลไลย่าตื่นแล้วเหรอ ทานอะไรไหมเดี๋ยวพี่ให้คนเอามาให้"ชายหนุ่มผมดำพูดขึ้นดวงตาสีน้ำเงินทอดมองมาอย่างห่วงใย

                      "ไม่เป็นไรค่ะไม่ต้องห่วง"เด็กสาวหันมาตอบด้วยรอยยิ้มยิ้มหวานที่แสร้งทำขึ้นมาอย่างยากเย็น ก่อนที่จะเบือนหน้ากับไปมองหน้าต่างอีกครั้งแสงจันทร์ทอแสงสีเงินนวลตาดังคล้ายปลอบประโลม

                      ..ว่ากันว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของจิตใจแล้วดวงตาที่ว่างเปล่าของเด็กสาวตรงหน้าเขานี้เล่าบอกถึงอะไร..จินไนถอนหายใจ เนื่องด้วยคิดว่าเด็กสาวคงต้องการอยู่คนเดียวจึงหมุนตัวเดินออกไปช้า

                      หากแต่เสียงหวานๆ ที่ดังขึ้นทำให้เขาต้องชะงักเท้าและหันกลับมามองอีกครั้ง

                      "พระจันทร์คืนนี้สวยนะค่ะคืนจันทร์เพ็ญ ถ้าหมอนั่นเห็นคงชอบน่าดู"เสียงหวานๆที่ฟังดูเหมือนการพูดกับตัวเองเสียมากกว่า

                      ถ้าเอลไลย่าสังเกตสักนิดคงจะเห็นว่า จินไนมองเธอด้วยสายตาเช่นไร เจ็บปวดเพียงไร

                      ..แน่นอนเขารู้ว่าหมอนั่นที่เธอพูดถึงคือใคร ไม่ใช่คนห่างคนไกลที่ไหนน้องชายเขาเอง เจมิไน ทั้งๆที่รู้แต่ก็ยังเจ็บ เจ็บที่เธอไม่ได้รักเขา ยังน้อยกว่าเจ็บที่เห็นเธอเศร้า เธอร้องไห้...จินไนกลับออกไปจากห้องอย่างช้าๆประตูถูกปิดลงอย่างแผ่วเบา เผื่อไม่ให้รบกวน เด็กสาวเจ้าของห้องซึ่งกำลังเฝ้ามองดวงจันทร์

                      ..เจมิไน ทำไมล่ะทั้งๆที่นายบอกว่ารักชั้น แต่ทำไมทิ้งให้ชั้นอยู่คนเดียวเจ้าบ้า..ดวงหน้าสีน้ำตาลมองพระจันทร์อย่างเจ็บปวด

                      ความรู้สึกที่รู้ว่าเขาคนนั้นตายมันรู้สึกไม่ต่างเลย ไม่ต่างกับวันที่พ่อจากไป เหมือนเหลือเกิน เหมือนหัวใจแตกสลายเหมือนร่างกายถูกกรีดด้วยมีดซักพันเล่ม คล้ายดังภาพแห่งความทรงจำถูกย้อนกลับคล้ายดังเหตุการณ์ทั้งสองซ้อนทับกัน วัน..วันที่คนสำคัญตาย..คนที่เธอรัก

                      ..เจมิไน ชั้นจะอยู่ได้ไงนะถ้าไม่มีนาย...เด็กสาวถอนหายใจช้า ดวงตาสีน้ำตาลปิดลงด้วยความอ่อนเพลียก่อนที่จะเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด
      -----------------------------------

                      ร่างบอบบางเดินไปตามทางไปสู่ห้องนั่งเล่นอย่างเร่งรีบ เธอไม่อยากสายไม่อยากให้เพื่อนๆรอ ดวงหน้าหวานยังคงดูซีดเซียวไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่นักแต่ก็ยังซับเลือดไม่ได้ซีดเผือดเหมือนเมื่อวานสองเท้าก้าวไปอย่างเร่งรับ

                      ก็อก ก๊อกเด็กสาวเคาะประตูเป็นเชิงขออนุญาต การเปิดประตูเข้าไป

                      "เอลไลย่าอาการดีขึ้นแล้วหรือจ๊ะ"เมอลินด้าทักขึ้นเมื่อเธอเดินเข้ามาในห้องเด็กสาวยิ้มกว้างแทนคำตอบก่อนนั่งลงข้างๆแอมเบอร์

                      "สวัสดีค่ะคุณบารอน คุณสเฟร่า พี่จินไน คุณไลเดีย"เอลไลย่าว่าซึ่งท่านบารอนเองก็เพียงพยักหน้ารับ

                      "แล้วนี่คุยเรื่องอะไรกันหรือค่ะ"เธอพูดอย่างร่าเริงแต่มีเหรอที่คนที่สนิทกันจะดูไม่ออกว่าแสร้งทำ แม้ท่าทางยังดูดีขึ้นแต่ยังไงก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่ดี

                      "เรื่องหนูแหละจ๊ะเอลไลย่า เราตกลงกันว่าจะยังไม่ให้หนูกลับโรงเรียนวันนี้แต่ให้อยู่พักฟื้น[ทำใจนะแหละฟาอิ]ที่นี่สักระยะเพราะว่ายังไงที่โรงเรียนช่วงนี้ก็ไม่มีการเรียนการสอนอยู่แล้วส่วนคนอื่นเขาก็จะแยกย้ายกันกลับบ้านนะจ๊ะ"สเฟร่าบอกง่ายๆ

                      "แต่ไม่เป็นการรบกวนหรือค่ะหนูว่า....."เอลไลย่าอึกอักก็แหมมันน่าเกรงใจไหมละมาอยู่บ้านคนอื่นเนี่ย

                      "ไม่ต้องว่าอะไรหรอกไม่รบกวนหรอกน่า"ท่านบารอนว่านัยน์ตาสีน้ำเงิน[อีกแล้ว]ทอดมองมาที่เธออย่างเอ็นดู

                      "ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไปงั้นก็ตกลงค่ะ"เธอว่าง่ายๆ

                      ..อยากอยู่อยู่ที่ๆเขาคนนั้นเติบโต ที่ซึ่งเป็นความทรงจำของเขาคนนั้น อยากสัมผัส อยู่ใกล้ๆกับที่แห่งความทรงจำของเขาให้มากที่สุด กลัว กลัวว่าถ้าจากไปจะไม่ได้สัมผัสถึงเขาอีกไม่อาจสัมผัสแม้เพียงเสี้ยวแห่งจิตวิญญาณ..นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววเศร้าขึ้นอีกครั้งแน่นอนทุกคนเห็น หากแต่ไม่อยากซักไซร้ ให้เธอเศร้าไปมากกว่านี้

                      ..น่าเศร้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพรากลูกชายของข้าไปไม่พอหากแต่ยังพรากความสดใสไปจากเธอผู้นี้อีกด้วย..บารอนมองเด็กสาวอย่างเข้าใจเพราะเขาก็เจ็บไม่แพ้เธอ อาจจะเจ็บกว่าด้วยซ้ำ

                      ลูกชาย คนเล็ก ลูกที่เขารักนักหนากลับจากไป โดยไม่ได้แม้แต่เอ่ยคำร่ำลา พระเจ้าช่างโหดร้ายนักที่พรากเขาไปจากข้าหรือเป็นเพราะชะตากรรม ที่ทำให้ข้าได้เพียงแค่รับฟัง รับฟังคนมาบอกว่าเจ้าตายลูกรักของข้า......เจมิไน....

                      เพื่อนของเธอเองก็มองอย่างเห็นใจพวกเขาก็รักเจมิไนไม่แพ้เธอ เพื่อน คือคำที่บอก ที่อธิบายความรู้สึกได้ดีที่สุดไม่ควรเลย ไม่รู้ทำไม แต่มันไม่ควรเลย ยังไม่ถึง ยังไม่ถึงเวลาที่น่าจะจาก คนตายแต่คำว่าเพื่อนยังอยู่ แต่คำว่า มิตรภาพ กลับให้ความรู้สึกเศร้า เมื่อเราผูกพันธ์ย่อมต้องเสียใจเมื่อจาก โดยเฉพาะการจากไปที่ไม่ทันตั้งตัว

                      "เอลไลย่าจ๊ะสีหน้าเธอไม่ค่อยดีเลย ไปนอนพักอีกหน่อยเถอะ"เมอลินด้าพูดขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าเพื่อนรักที่ซีดลงอีกครั้ง

                      "จินไนไปส่งน้องหน่อยลูก"สเฟร่าหันมาสั่งก่อนที่ชายหนุ่มจะค่อยๆ พยุงร่างเธอออกไป

                      "คุณสเฟร่าค่ะคือ ฝากดูเอลไลย่าให้ดีๆ นะค่ะ หนูว่าขืนเป็นแบบนี้นาน หนูเกรงว่า..."ประโยคสุดท้ายถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอเนื่องจากไม่อยากนึกถึง

                      "ไม่ต้องห่วงจ๊ะเอลไลย่าต้องดีขึ้นแน่นอน น้ารับรอง"สเฟร่าหันไปยิ้มให้ ยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น

                      ..เธอเชื่อนะ คนที่เจมิไนลูกคนสุดท้ายรัก ต้องเข้มแข็งพอ ไม่สิไม่ใช่เจมิไนคนเดียวแต่รวมถึงจินไนด้วยเธอแน่ใจ เด็กสาวที่ลูกชายทั้ง 2 ของเธอรัก ต้องเข้มแข็งพอเข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริง และจะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิม ใครว่าอย่างไรเธอไม่สนหรอก อย่างน้อยเธอก็เชื่อ แค่นั่นก็พอ..

      --------------------
                     
      เวลาผ่านไปหลายวันอาการซึมเศร้าของเอลไลย่ายังคงไม่ดีขึ้น แต่ก็นั่นแหละการรักษามันต้องค่อยเป็นค่อยไป นี่เป็นคำที่สเฟร่าบอกกับตัวเอง เธอได้แต่อดทน เฝ้าภาวนาว่าสักวันเด็กสาวผู้น่ารักคนนี้จะลุกขึ้นก้าวเดินอีกครั้ง เธอเชื่อนะ ยังคงเชื่อ ขอแค่มีเพียงศรัทธาทุกๆอย่างจะดีขึ้นเอง

                      หากแต่มันก็ต้องถึงที่สุด จินไนไม่อาจทนได้อีกต่อไป ไม่อาจทนเห็นเด็กสาวเจ้าของผมน้ำตาลซึมเศร้านั่งมองพระจันทร์กับก้อนเมฆไปวันๆไม่อยากให้คนที่เขารักเฝ้าคิดถึงแต่อดีตที่ไม่มีวันหวนกลับ เมื่อมันถึงที่สุดเขาก็ไม่อาจทนได้ต่อไป

                      "เอลไลย่า...เอลไลย่า"เขาเรียกเด็กสาวซึ่งนั่งมองหน้าต่างด้วยเสียงค่อนข้างดัง

                      "ค่ะ"เธอหันหน้ากลับมามองเขา

                      "ถ้าเธอมัวแต่นึกถึงอดีต มัวแต่เศร้าอยู่อย่างนี้เธอคิดว่าเจมิไนจะดีใจงั้นเหรอ"นัยน์ตาสีน้ำเงินประสานเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลคู่โตอย่างรอคำตอบ หากแต่เธอไม่ได้ตอบออกไป

                      ..ใช่สิ ถ้าเรามัวเศร้าแบบนี้เจมิไนจะดีใจเหรอ เจมิไนชั้นจะทำยังไงดี บอกชั้นหน่อยสิ ได้โปรด...

                      "เธอคงได้คำตอบแล้วการที่เจมิไนจากไป ทุกคนก็เศร้าไม่แพ้เธอหรอก แต่เราต้องเข้มแข็งขึ้นเริ่มต้นใหม่เพื่อวันข้างหน้า ลองคิดนะเอลไลย่า เพื่อนๆจะรู้สึกอย่างไงถ้าเธอเป็นอะไรไปอีกคน"จินไนพูดเรียบๆ

                      เงียบ เอลไลย่าได้แต่เพียงก้มหน้ามิอาจพูดอะไรออกมาได้

                      "เธอยังมีใครมากมายอยู่เคียงข้างถึงไม่มีใคร ก็ยังพี่คนหนึ่งแหละ ที่จะอยู่เคียงข้างเธอตลอดไป"เอลไลย่าหันมามองเขาอย่างตะลึงเมื่อคิดถึงนัยความของประโยคนี้ จินไนมองเด็กสาวแล้วยิ้มน้อยๆ ให้ท่าทางของเธอก่อนจะพูดต่อช้าๆชัดๆถึงนัยความดังกล่าว

                      "พี่รักเธอนะเอลไลย่า รักไม่แพ้เจมิไนหรอก"คราวนี้เธอได้แต่อึ้งดูจากสีหน้าบอกได้คำเดียวว่า ช็อกสุดขีด ใบหน้าที่ซีดขาวเริ่มขึ้นสีระเรื่อ

                      "แต่...พี่ กับ..เอ่อ คุณไลเดียละค่ะ"เด็กสาวถามอย่างงงๆทั้งที่หน้าก็ยังไม่หายแดง

                      "รายนั้นนะ เขารักจาร็อด"ชายหนุ่มตอบเรียบๆนัยน์ตาสีน้ำเงินมองเธออย่างเอ็นดู

                      มันเป็นความรู้สึกบรรยายไม่ถูกเมื่อได้ฟังคำตอบ เธอช็อกๆยิ่งกว่าที่พี่จินไนบอกว่าชอบเธอซะอีก โอ้แม่เจ้า..คุณไลเดียชอบจาร็อดเป็นไปได้หรือเนี่ย

                      "พี่รักเธอนะ"จินไนย้ำคำเดิมอีกครั้งดวงตาทอดมองมาที่เธออย่างรักใคร่

                      "แต่.."เอลไลย่าอึกอักไม่อาจว่าอะไรได้อีก เธอสับสนเกินไป ประหลาดใจเกินไป และตกใจเกินไป

                      มือเรียวของจินไนถูกยกขึ้นมาแตะริมฝีปากของเธอ เขาส่ายหน้าน้อยๆก่อนพูดต่อ

                      "ยังไม่ต้องตอบพี่ก็ได้ พี่รู้เรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลา พี่แค่อยากให้เธอรู้ไว้ว่าไม่ว่าเวลาไหนพี่ก็จะอยู่ข้างเธอเสมอ"หน้าเอลไลย่าเริ่มขึ้นสีอีกครั้งแดงยิ่งกว่าเก่า จินไนยิ้มน้อยๆให้ก่อนเดินออกจากห้องไป ทิ้งเด็กสาวไว้ให้ได้คิดได้ทบทวนกับคำพูดที่เขาได้กล่าวออกไป

      --------------

                      เวลาไม่เคยรอใครจากวันนั้นมาถึงวันนี้ ก็ผ่านมาแล้ว 2 ปี เธอกลับมายืนที่จุดๆเดิมอีกครั้งในมือคือช่อดอกกุหลาบสีขาว เธอยืนมองป้ายหลุมศพที่สีหม่นลงไปตามกาลเวลาเธอแย้มยิ้มน้อยๆ ยิ้มที่แสนเศร้า

                      "เจมิไนนายจากไปก็ 2 ปีแล้วนะ แต่ชั้นก็ยังลืมเธอไม่ได้สักที วันนี้ชั้นมาหานายเพื่อจะถามเพื่อจะบอก จะเป็นไรไหม เจมิไน ถ้าชั้นจะเริ่มต้นใหม่ ก้าวเดินลุกขึ้นสู้อีกครั้งกับคนๆ อื่นที่ไม่ใช่เธอ เธอจะว่าอะไรไหมถ้ามาวันนี้ชั้นรักคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ เจมิไน"เด็กสาวเปรยเบาๆกับสุสานตรงหน้าสายลมพัดมาอย่างอ่อนโยนแทนคำตอบ เธอยิ้มน้อยๆ ยิ้มแบบที่ออกมาจากใจมือบางวางช่อดอกไม้ลงไปหน้าป้ายหลุมศพ

                      "ขอบคุณเจมิไน ขอบคุณ"เธอพึมพำเบาๆอีกครั้ง

                      "เอลไลย่าเร็วเถอะ คนอื่นรอแล้ว"เสียงห้าวทุ้มดังขึ้นก่อนที่ชายหนุ่มผมดำจะปรากฏให้เห็นในระยะสายตา

                      "อืมไปแล้วจ๊า"เอลไลย่ายิ้มหวานส่งให้ยิ้มที่ไม่ใช่การเสแสร้ง

                      ร่างสองร่างเดินเคียงคู่กันไปตามทางที่กลับออกจากสุสานสีขาว สุสานของบุคคลผู้เป็นที่รัก

                      หากเอลไลย่าหรือจินไนจะหันกลับมามองที่หลุมศพอีกสักนิด พวกเขาคงเห็นบุคคลที่เป็นที่รักกำลังส่งยิ้มให้ ยิ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายคิดถึง ห่วงหา อาทร และความสุข

                      สุดท้ายแม้เวลาผ่านไป พวกเขาไม่ได้ลืมเอลไลย่าไม่ได้ลืมคนที่เธอรัก จินไนไม่ได้ลืมน้องชายที่แสนดี หากแต่วันนี้พวกเขาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ก้าวเดินมีชีวิตอยู่ทดแทนบุคคลที่จากไปการเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้ก็เพื่อเธอ ..เจมิไน

                      เริ่มต้น....แด่บุคคลอันเป็นที่รัก

                      ....แด่บุคคลผู้จากไป จากไปตลอดกาล

      .The End.

       

      อะแฮ่มๆ ลืมบอกไป
      สำหรับผู้รอฟิคดิโอเมนอีกเรื่องของข้าเจ้า(สาเหตุที่ทำให้เจมี่ตาย)
      อีกไม่นานเกินรอเจ้าค่ะ

                      "ฮึกๆ"แอมเบอร์ร้องไห้โฮไม่หยุดขณะที่สบหน้าอยู่กับอกของเคอัสไม่ไกลนักคือ นาธานที่กำลังปลอบเมอลินด้าอย่างใจเย็น จูปิไต แมกวิชและคนในตระกูลแอชเชอร์ กำลังมองพิธีกรรมเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอยด้วยความอาลัยทั้งหมดอยู่ในชุดดำ บรรยากาศรอบข้างมีเพียงการร้องไห้ร้องให้แก่บุคคลผู้จากไป...จากไปตลอดกาล

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×